“ตามหาข้า
ตามหาข้า ตามมา...”
บ่อยครั้งที่เสียงเพรียกหญิงสาวลึกลับแจ่มชัดขึ้นในความฝันของน้ำฤทัยหลังกลับมาจากบาร์เกิร์ล
บางครั้งก็เป็นเสียงผู้ชายดังสะท้อนกลับไปกลับมา
“จงมา จงมา…ปรนเปรอข้า…”
และวันหนึ่งระหว่างเผลอหลับในที่ทำงาน
หล่อนก็ฝันอีก คราวนี้มาทั้งเสียงและภาพชัดเจน
“ปรนเปรอข้า...จงมา...”
อมนุษย์รูปร่างสูงใหญ่ราวห้าเมตร
กายเป็นบุรุษรูปงาม แต่มีปีกสีแดงเพลิงสลายใหญ่เบื้องหลัง
นัยน์ตาดุดันดุจดั่งดวงตะวันอันร้อนแรง รอบกายโอบล้อมด้วยเปลวอัคคี
น้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจ
ยามเยื้องย่างแต่ละก้าวปฐพีแยกเลื่อนลั่นได้ยินไกลหลายเมตร
“จงมา…จงมา…ปรนเปรอ…”
เสียงอันน่าขยะแขยงนั้นดังก้องใกล้เข้ามา
ใกล้เข้ามา สะกดร่างเล็กตรึงแน่นกับที่ ดวงตากลมโตเบิกโพลง
หัวใจดวงเล็กแทบระเบิดกระเด็นออกนอกอก
เมื่ออมนุษย์ตนนั้นเข้ามาอยู่ในระยะประชิดตัว
“อ้ากกก!…ไม่! ไม่นะออกไปให้พ้นไอ้นกฟีนิกซ์โรคจิต!”
เสียงร้องโหวกเหวกดังขึ้นที่มุมหนึ่งของออฟฟิศแผนกสนับสนุนในเวลาบ่ายสอง
สร้างความแตกตื่นตกใจแก่เหล่าพนักงานในแผนกไปตามๆ กัน แต่พอทุกคนหันไปมองตามเสียง
เมื่อรู้ว่าเป็นใคร ต่างก็พากันเงียบกริบ พร้อมกับส่ายหน้าเหมือนนึกเอือมระอา
“พี่คนนั้นเป็นใครกันคะ เห็นแอบหลับทุกวัน ไม่รู้ตอนกลางคืนไปทำอะไรมา
แล้วไม่มีใครว่าอะไรเธอบ้างเลยหรือคะ”
วิภาดานักข่าวฝึกงานน้องใหม่วัย
22 ปี เพิ่งเข้ามาในแผนกสนับสนุนได้เพียงสามวัน
ยังไม่อีโหน่อีเหน่อะไรในบริษัทหันไปกระซิบถามนักข่าวรุ่นพี่วัยไล่เลี่ยกัน
ซึ่งนั่งทำงานอยู่ข้างๆ
สุปราณีรีบยกนิ้วจุปากเป็นการส่งสัญญาณเตือนให้เด็กสาวเงียบ
“ทำไมคะ” วิภาดานึกสงสัย
ขยับเลื่อนเก้าอี้เข้าไปหาสุปราณี
“อย่าพูดดังไปยัยน้องใหม่ เห็นพี่เขาไม่สุงสิงกับใคร และแอบหลับตลอดแบบนั้น
แต่เธอคงไม่รู้ว่าพี่คนนั้นมีฉายาว่า ‘ไฮยีนา’ เชียวนะ ไม่มีใครกล้าแตะต้องเธอหรอก เพราะมีผู้จัดการแผนกเราคอยหนุนหลังอยู่”
“ฮ้า! ไฮยีนา...ที่บอกว่า
เป็นนักข่าวเดนตายอันดับหนึ่งของแผนกเราคนนั้นเหรอคะ ไม่ยักกะรู้ว่าเป็นผู้หญิง
และแถมยังเป็นนักข่าวแผนกเราอีก แล้วทำไมพี่เขาถึงยังอยู่ที่แผนกสนับสนุนล่ะค่ะ
ถ้าเก่งขนาดนั้น"
“เอ่อ...เรื่องนี้มันมีอยู่ว่า...”
สุปราณียังเล่าไม่ทันจบ
เสียงหนึ่งก็ดังขัดจังหวะขึ้นที่หน้าประตูเสียก่อน
“คุณน้ำฤทัยอยู่หรือเปล่าคะ”
ครั้นเมื่อทุกคนหันขวับไปมองที่ประตู
ต่างก็ตกตะลึงไปตามๆ กัน เมื่อพบว่าเจ้าของเสียงเป็นหญิงสาวสวยสูงเพรียว ผมดำขลับ
ดวงตาวาววับเต็มไปด้วยความลึกลับ แถมยังสวมเสื้อสูทสีดำแขนยาวเข้าชุดกระโปรงสีดำสั้นจู๋
แต่งหน้าแบบจัดจ้านเหมือนนางแบบบนแคทวอล์ค ทำให้ทุกคนเผลอร้องอุทานขึ้นเกือบพร้อมกันแบบไม่ได้นัดหมาย
“ว้าว!”
ขณะที่ผู้ถูกเรียกชื่อได้แต่ทำหน้าแปลกใจระคนสงสัย
น้ำฤทัยลุกเดินออกมาจากมุมห้อง พร้อมกับร้องถาม “ฉันเอง มีธุระอะไรกับฉันเหรอคะ”
“ท่านประธานต้องการพบด่วน เชิญค่ะ”
ตั้งแต่เข้ามาเป็นนักข่าวที่แผนกสนับสนุนเกือบหนึ่งปี
แม้แต่เดินเฉียดเข้าใกล้ห้องท่านประธานบริษัทก็ยังไม่เคย
พอได้ยินว่าประธานบริษัทเรียกพบ หญิงสาวก็อดนึกสงสัยไม่ได้
พอน้ำฤทัยเดินตามผู้หญิงคนนั้นพ้นออกจากห้องไม่ทันไร นักข่าวคนอื่นๆ
ต่างก็พากันตั้งวงซุบซิบนินทาเป็นการใหญ่
“ท่านประธานคฑายุทธเรียกพบยัยไฮยีนาทำไมกันน่ะ พวกเธอรู้หรือเปล่า”
นริสสาผู้เป็นหัวหน้าบก.สาวห้าวหน้าดุ
ปากจัด รูปร่างสัดทัด วัย 32 ปี
ลุกเดินออกจากห้องทำงานที่กั้นด้วยกระจกใสมาถามลูกน้องด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ไม่รู้ค่ะหัวหน้า” นักข่าวรุ่นน้องประมาณสิบกว่าชีวิตที่ยืนชุมนุมกันก้มหน้าตอบเสียงอ่อย
นริสสาทำเสียง
“ชิ!” ใส่เหมือนไม่ได้ดังใจ หลายคนต่างก็รู้ว่า
นริสสาไม่กินเส้นกับน้ำฤทัยตั้งแต่วันแรกที่เธอเข้ามาทำงาน และยิ่งรู้ว่า
น้ำฤทัยเป็นเด็กเส้นของผู้จัดการนพพลด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้นริสสาไม่พอใจเป็นทวีคุณ
“แล้วนี่พวกเธอเป็นนักข่าวประสาอะไร ถามอะไรก็ไม่รู้เรื่อง
ท่านประธานคฑายุทธเรียกยัยไฮยีนาไปพบมันต้องมีอะไรสิ
แล้วทำไมท่านไม่เรียกผู้จัดการนพแทนที่จะเรียกยัยนั่น”
นิรสรายังไม่หายข้องใจ
ใช้สายตาดุไล่จ้องจิกมองลูกน้องทีละคนราวจะคาดคั้นเอาคำตอบให้ได้
“มีเรื่องอะไรกัน ยืนชุมนุมอะไร ทำไมไม่ทำงาน”
เสียงดุเข้มถามขึ้นที่ประตู
ทำลายบรรยากาศที่เริ่มตึงเครียด พอทุกคนหันไปเห็นผู้จัดการหนุ่มใหญ่วัย 48 ปีเดินเข้ามาภายในออฟฟิศ
ต่างก็พากันวิ่งแจ้นกลับไปยังโต๊ะทำงานของใครของมัน
“เดี๋ยวก่อนสา”
ก่อนที่นริสสาจะเดินกลับเข้าห้องไป
นพพลเรียกหล่อนไว้เสียงดัง
“ตกลงมีเรื่องอะไร”
“เอ่อ...คือท่านประธานคฑายุทธเรียกพบน้ำ
พวกเราเลยสงสัยกันน่ะค่ะ ไม่มีอะไร”
นพพลขมวดคิ้วมุ่นเมื่อได้ยิน
เพราะเมื่อชั่วโมงที่ผ่านมาตอนเข้าประชุม เขาเพิ่งทราบจากที่ประชุมว่า
ประธานคนเก่าได้ขายหุ้นไปแล้ววันนี้ และจะมีประธานคนใหม่เข้ามาบริหารแทน
แต่ไม่คิดว่า
พนักงานคนแรกที่ประธานคนใหม่เรียกพบจะกลายเป็นน้ำฤทัยหลานสาวของตนไปได้
“ประธานเรียกพบน้ำงั้นรึ”
“มีอะไรหรือเปล่าคะผู้จัดการ ทำไมประธานคฑายุทธ…เอ่อ...”
นริสสาเอ่ยถามอย่างลังเล รู้สึกสังหรณ์ใจลึกๆ
ว่าต้องมีเรื่องอะไรบางอย่างเกิดขึ้นแน่นอน
“ไม่มีอะไรหรอก เออ! ทุกคนหยุดทำงานก่อนครับผมมีเรื่องจะแจ้งให้ทราบ”
นพพลร้องบอกทุกคนเสียงดัง
พนักงานเกือบสิบกว่าชีวิตในแผนกต่างละมือจากงานที่ทำตรงหน้า รีบลุกเดินเข้ามายืนห้อมล้อมเพื่อรอฟังเขาแถลงอย่างใจจดใจจ่อ
“คือแบบนี้นะ วันนี้ผมได้ทราบจากที่ประชุมว่า
ทางบริษัทของเราจะมีการเปลี่ยนแปลงคณะผู้บริหารใหม่
เพราะท่านประธานคฑายุทธมีปัญหาสุขภาพมานาน บางคนก็น่าจะทราบกันบ้างแล้ว
ท่านจึงต้องการพักผ่อน และได้ตัดสินใจขายหุ้นเมื่อเช้า
ต่อไปนี้จะมีผู้บริหารคนใหม่เข้ามาบริหารงานต่อ”
พอทุกคนทราบว่าบริษัทได้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น
ต่างก็เกิดความกังวล
จากนั้นภายในออฟฟิศก็เต็มไปด้วยเสียงจ้อกแจ้กจอแจไม่ต่างจากนกกระจอกแตกรัง
“แล้วแบบนี้แผนกเราจะถูกยุบเหมือนข่าวลือหรือเปล่าคะผู้จัดการ”
นริสสาเอ่ยถามขึ้นด้วยความไม่สบายใจ
เพราะช่วงหลังๆ ได้ยินข่าวลือมาตลอดว่า
จะมีการยุบบางแผนกที่ไม่จำเป็นเพื่อประหยัดงบประมาณของบริษัท
“นั่นสิครับผู้จัดการ แล้วแบบนี้พวกเราจะตกงานด้วยหรือเปล่าครับ” นักข่าวคนอื่นๆ ก็พลอยเป็นเดือดเป็นร้อนไปด้วยไม่ได้
“ทุกคนใจเย็นๆ ไม่ต้องตกใจและเป็นกังวลให้มาก
เพราะการเปลี่ยนแปลงส่วนใหญ่มันเป็นเรื่องของฝ่ายบริหารเขา
ส่วนแผนกของเราขอให้ทุกคนตั้งใจทำงานของตัวเองกันอย่างเต็มที่เหมือนเดิมก็พอ
เข้าใจกันแล้วนะครับ กลับไปทำงานต่อได้”
ผู้จัดการหนุ่มใหญ่กล่าวให้ความมั่นใจกับทุกคน
ขณะที่ภายในใจกลับนึกเป็นกังวลอยู่ลึกๆ ไม่น้อยไปกว่าคนอื่นๆ
เกือบสิบปีแล้วที่แผนกสนับสนุนได้ก่อตั้งขึ้น
โดยที่เขาเป็นคนริเริ่ม แผนกของเขาคอยทำหน้าที่พิเศษให้การสนับสนุนแผนกต่างๆ
เรื่อยมา สิบปีนี้มีพนักงานหลายคนเดินเข้ามาแล้วจากไป
แต่เขาก็ยังคงปักหลักเป็นผู้จัดการที่แผนกนี้มาตลอด
ผ่านทุกข์สุขร่วมกับหลายคนที่นี่
จนน้ำฤทัยผู้เป็นหลานสาวของเขาได้กล่าวหยอกล้อเสมอ
“ที่น้านพไม่ยอมแต่งงานก็เพราะหลงรักงานมากเกินไป
สงสัยคงต้องแต่งกับงานเสียแล้วกระมังคะชาตินี้”
พอนึกถึงคำพูดของน้ำฤทัย
ก็อดนึกเป็นห่วงหล่อนขึ้นมาเสียไม่ได้
“ประธานคนใหม่เรียกพบยัยจอมแสบไปพบทำไมกันนะ”
ไม่มีความคิดเห็น:
โพสต์ความคิดเห็น