น้ำฤทัยรู้สึกใจคอไม่ดีเอาเสียเลยเมื่อเดินตามเลขาสาวมาหยุดยืนที่หน้าห้องทำงานใหญ่
ยืนนิ่งอยู่สักพัก
ก่อนจะหันไปมองทางเลขาสาวคนนั้นเหมือนไม่แน่ใจว่าเคยเห็นหน้าที่ไหนมาก่อน
แล้วเธอก็ต้องตกใจ เมื่อได้พินิจพิจารณาใบหน้าหญิงผู้นั้นชัดๆ
“คุณคือ…”
ทำไมหญิงสาวผู้นี้ช่างใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับผู้หญิงที่บาร์เกิร์ลเสียนัก
น้ำฤทัยยังไม่ทันได้เอ่ยถามอะไรอีก เลขาสาวผู้นั้นก็เคาะประตูห้องเสียก่อน
ก๊อก
ก๊อก ก๊อก
“เข้ามา”
สิ้นเสียงอนุญาตจากผู้อยู่ข้างใน
เลขาสาวจึงเปิดประตูให้เธอราวกับรู้หน้าที่
“เชิญ...” เธอกล่าวเสียงเรียบ
“เอ๊ะ! คุณใช่…”
ไม่อาจเก็บความสงสัยเอาไว้ได้
จนต้องหันกลับไปถามหล่อนอีก เลขาหน้าห้องไม่ตอบคำถาม
แต่กลับใช้มือผลักเธอเข้าไปในห้องอย่างเร็ว
“รีบเข้าไปสิ เดี๋ยวท่านจะรอนาน”
“ดะ เดี๋ยวก่อนค่ะ”
วินาทีต่อมา
น้ำฤทัยได้เข้ามาหยุดยืนภายในห้องทำงานใหญ่ด้วยหัวใจเต้นรัวแรง
ทุกอย่างมองดูแปลกตาสำหรับเธอ เพราะเคยทำงานอยู่แต่ในห้องทำงานเล็กๆ
รวมกับพนักงานคนอื่นๆ ในแผนกสนับสนุน
พอเห็นห้องทำงานของประธานที่ตกแต่งอย่างหรูหรา จึงสร้างความประหม่ากับเธอขึ้นมาเล็กน้อย
“เอ่อ…ไม่ทราบว่าท่านเรียกพบดิฉันทำไมคะ”
หญิงสาวเอ่ยถามผู้นั่งบนเก้าอี้ใหญ่ที่กำลังนั่งหันหลังให้
และจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างราวกับว่าข้างนอกนั้นมีอะไรน่าสนใจเสียนักหนา
“เจ้าเรียกข้ามาเอง ลืมเสียแล้วรึ”
ครั้นเมื่อคนจากเก้าอี้ใหญ่หมุนตัวกลับมาอย่างช้าๆ
คำพูดแปลกๆ อีกทั้งดวงตาสีแดงเพลิงซึ่งคุ้นอยู่ในความรู้สึก
แม้แต่ใบหน้าคมเข้มนั้น พอรู้ว่าเขาเป็นใคร น้ำฤทัยก็แทบเข่าอ่อนยวบ
ยืนทรงตัวแทบไม่ไหว
“ทะ ท่านคือ…”
“ถูกต้อง…เจ้าของดวงจิตเจ้า”
ฟีนิกซ์บอกอย่างอารมณ์ขัน
ลุกจากเก้าอี้เดินเยื้องย่างเข้ามาใกล้ ขณะที่น้ำฤทัยยังคงยืนแข็งทื่อเหมือนตอไม้
เธอช็อกอยู่ชั่วขณะเมื่อรู้ว่าประธานบริษัทคนใหม่คือ
ฟีนิกซ์ ซัน เจ้าของบาร์เกิร์ลที่เธอขายบริการให้เขาเมื่อหลายคืนก่อนด้วยจำนวนเงินหนึ่งล้านบาท
แม้จะเคลียร์ปัญหาเรื่องหนี้สินกับมาเฟียไปเรียบร้อยแล้ว
ที่เหลือเธอนำไปจ่ายหนี้ซึ่งค้างจ่ายค่ารักษาพยาบาลของบิดาที่โรงพยาบาล
ตอนแรกนึกว่า
ชีวิตต่อจากนี้คงจะไม่มีปัญหาอะไรตามมาถ้าไม่เฉียดเข้าไปใกล้บาร์เกิร์ลแห่งนั้นอีก
แต่เวลานี้ดูเหมือนว่า ปัญหาใหญ่จะวิ่งเข้ามาหาอย่างจัง เมื่อเจ้าของบาร์เกิร์ลได้ย้ายตัวเองมาหาเธอถึงที่ทำงาน
ไม่มีความคิดเห็น:
โพสต์ความคิดเห็น