บทที่ 4
หลังจากทั้งสองเดินจากกระท่อมมาขึ้นรถ ก็รู้สึกว่าบรรยากาศที่เคยมืดอึมครึมก่อนหน้านั้นกลับมาสว่างไสวขึ้นทันตา
“เมื่อกี้ดูเหมือนกำลังจะมืดอยู่เลย
แต่ทำไมพอถึงรถกลับสว่างนะ แปลกจัง”
รัถยาพึมพำกับตัวเอง
หันมองกลับไปยังถนนเส้นเล็กๆ ที่เพิ่งเดินจากมาก็นึกประหลาดใจถนนสายนั้นราวกับมีเวทมนตร์บางอย่างดึงดูดใจเธอให้คนึงหา
และไม่เคยลืมว่าเธอเคยเดินกับภูวดล ได้แอบมองแผ่นหลังเหงาๆ ของเขา อยากเข้าไปโอบกอด
เพื่อให้เขารับรู้ว่ายังมีหล่อนอีกคนที่อยากเห็นเขามีความสุข
เมื่อภูวดลกดรีโมทเปิดประตู
รัถยาเข้าไปนั่งในรถไม่ทันชั่วอึดใจเสียงแตรรถก็ดังลั่นขึ้น
ทำเอาทั้งสองสะดุ้งโหยงขึ้นพร้อมกัน
“เธอบีบแตรทำไมยัยบื้อ!”
ชายหนุ่มตะคอกเลขาสาวเสียงดัง
ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปนั่งที่คนขับด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์
“รัถยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะคะ
แค่เปิดประตูเข้ามานั่งเฉยๆ ไม่ได้แตะโดนปุ่มอะไรเลย”
หญิงสาวอธิบาย
“ถ้าเธอไม่เป็นคนทำ
แล้วใครจะทำ ผีหลอกหรือไง” พอเจ้านายพูดถึงผี หญิงสาวถึงกับขนลุกซู่ขึ้นมาเอาดื้อๆ
รู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งตัว
“อย่าพูดเรื่องผีสิคะ
รัถยิ่งเป็นคนขวัญอ่อนอยู่ด้วย ออกรถเถอะ”
ภูวดลแอบหัวเราะขบขันที่เห็นหญิงสาวทำท่าเหมือนกลัวสิ่งที่มองไม่เห็น
“เธอไม่ใช่เด็กๆ
แล้วนะยังจะกลัวผีอยู่อีก แล้วสรุปว่าเธอไปรับอะไรจากคุณตาลึกลับนั่นมาด้วย”
ภูวดลอดถามไม่ได้
เมื่อสังเกตเห็นในมือหญิงสาวถือขวดอะไรบางอย่าง พร้อมกับสมุดเก่าๆ
สีน้ำตาลขนาดเอสี่เล่มหนาติดมือมาด้วย
“เป็นความลับค่ะคุณชาย”
“ห๊ะ! ขนาดฉันยังมีความลับอยู่รึ
ฉันเป็นเจ้านายเธอนะ”
“แต่คุณตาอยากให้เก็บไว้เป็นความลับนี่คะ
และมันก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคุณชายเลยค่ะ เพราะอีกหน่อยของพวกนี้ก็จะถูกถ่ายโอนไปให้คนอื่น
รัถก็แค่สานต่อเจตนารมณ์ของคุณตาเท่านั้นแหละค่ะ”
รัถยาอธิบาย
แต่เจ้านายหล่อนกลับทำหน้าเหมือนไม่พอใจ
นั่งหน้าบูดบึ้งขับรถไม่ยอมพูดจากับหล่อนไปจนตลอดทาง
รุ่งเช้าวันอาทิตย์
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ประมุขของบ้านก็เรียกบุตรชายทั้งสองเข้าไปพบที่ห้องทำงาน
“เรียกผมมาด่าอีกหรือไงครับคุณพ่อ”
ภูวนาถกล่าวกระฟัดกระเฟียดขึ้นทันทีที่ก้นหย่อนถึงเก้าอี้
“หยุดเถอะ
แล้วหัดเป็นผู้ฟังที่ดีเสียบ้าง ก่อนจะกล่าวอะไรออกมา”
พี่ชายปรามขึ้นเสียงดุ
ภูวนาถจึงหันไปเหวี่ยงหน้าใส่ผู้เป็นพี่ชายอีกราย
“เอาละ
ที่เรียกแกสองคนมาวันนี้ พ่อมีสามเรื่องที่อยากจะพูด
เรื่องแรกพ่อคิดว่าพ่อจะเกษียณตัวเองเร็วๆ นี้แหละ ส่วนตำแหน่งประธานพ่อคิดว่าจะยกให้ดลเป็นคนรับช่วงต่อ”
“พ่อครับ!” ภูวดลร้องขึ้นขัดจังหวะ
ด้วยความตกอกตกใจ บิดายกมือห้ามไว้ กล่าวต่อว่า
“พ่อยังพูดไม่ทันจบ”
“แต่พ่อทำแบบนี้ไม่ได้นะครับ
ผมไม่ยอมรับหรอกครับ ตำแหน่งประธานบริษัทเป็นแหน่งสำคัญ แล้วพ่อก็ยังไม่แก่ ถ้าพ่อออกไปแบบนี้ทุกคนในบริษัทจะรู้สึกยังไง”
“ก็ใช่ว่าพ่อจะไปไหนไกลเสียเมื่อไหร่
ถึงยังไงพ่อก็ยังอยู่คอยช่วยพวกลูกอยู่เบื้องหลังเสมอนั่นแหละ และด้วยบารมีของคุณปู่
บริษัทเราก็รุ่งเรืองเติบโตมั่นคงกว่าอดีตมาก ตอนนี้อายุพ่อก็ย่างหกสิบปีคิดว่าสมควรที่จะส่งต่อตำแหน่งให้ลูกๆ
ทั้งสองเป็นผู้ดูแลต่อเสียที ส่วนเรื่องที่สองก็เป็นเรื่องของเจ้านาถ
พ่ออยากให้แกเข้ามารับตำแหน่งรองประธาน คอยช่วยเหลืองานพี่ชายบ้าง
เริ่มจากเดือนหน้าเลยนะ”
ภูวนาถได้ยินถึงกับทำหน้าหงิกงอเหมือนไม่พอใจ“พ่อครับผมไม่อยากไปทำงานบริษัท
ผมอยากเปิดผับไม่ได้หรือครับ”
“ไม่ได้! หมดเวลาเล่นสนุกแล้ว เข้าไปรับตำแหน่งรองประธานแทนพี่แกซะ ถ้าแกไม่เข้าไปทำงานพ่อก็จะตัดเบี้ยเลี้ยงรายเดือน
และห้ามทุกคนในบ้านให้เงินแกด้วย เอาแบบนั้นไหมล่ะ”
พอจะเอ่ยปากคัดค้านกลับถูกพี่ชายขึงตาดุใส่เป็นเชิงห้ามภูวนาถจึงหุบปากเงียบสนิท
“และเรื่องสุดท้ายเพื่อให้ครอบครัวเรามีทายาทสืบสกุลต่อ
ดลถึงเวลาที่ลูกต้องแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาได้แล้วนะ
อาทิตย์หน้าก็ไปดูตัวกับแม่แกซะ แล้วหาฤกษ์หมั้นหมายและแต่งให้เร็วที่สุดเอาละพ่อก็หมดเรื่องคุยแค่นี้แหละ
พวกแกกลับไปได้แล้ว”
คำพูดของบิดาราวกับประกาศิต
สองหนุ่มได้แต่เดินคอตกกลับออกไป ภูวดลนั้นถึงกับช็อกไปเลยเมื่อรับรู้ว่าบิดากับมารดากำลังจะจับเขาคลุมถุงชน
ภูวดลเดินกลับเข้าห้องและเริ่มคิดหนักพอตกเย็นเขาขับรถออกไปดื่มจนถึงเที่ยงคืนจึงขับรถกลับเข้าหมู่บ้าน
ระหว่างขับรถผ่านหน้าบ้านรัถยา เห็นไฟในบ้านเปิดอยู่จึงจอดรถที่หน้าบ้านหล่อนนั่งจ้องมองเข้าไปในบ้านด้วยหัวใจปวดร้าวแสนสาหัส
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
และโดยไม่รู้สึกตัวภูวดลก็มาหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตู
พร้อมกับเคาะประตูเรียกรัถยา เขารู้สึกสับสน เพียงแค่ต้องการหาใครสักคนเพื่อระบาย
“ใครคะ”
เสียงเจ้าของบ้านเดินมาที่ประตู
พร้อมกับร้องถามอย่างระมัดระวัง
“ฉันเอง”ภูวดลกล่าวเสียงอ้อแอ้
“คุณชายมีอะไรหรือเปล่าคะ
ถ้าไม่มีธุระด่วน เอาไว้คุยพรุ่งนี้ได้ไหมคะ รัถกำลังเข้านอน”
รัถยาคิดว่าดีที่สุดที่ทำแบบนี้
เพราะเกรงว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น หล่อนเป็นแค่สาวใช้
แม้ตอนนี้จะได้ทำงานในตำแหน่งเลขาของเขา แต่ความจริงเกี่ยวกับเรื่องฐานะของหล่อนกับเขาก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
“เธอเป็นลูกจ้าง
ฉันเป็นเจ้านาย”
ภูวดลนั่นเองที่ตอกย้ำไม่ให้หล่อนอาจเอื้อมถึงเขา
เขามักผลักไสเธอออกห่างเสมอเมื่อเธอพยายามจะสารภาพความในใจ
“ฉันขอเข้าไปข้างในหน่อยได้ไหมแค่สิบนาทีก็กลับ”
เสียงเขาฟังดูเครียดเคร่งเหมือนต้องการที่ไขว่คว้า จู่ๆ
แผ่นหลังเหงาๆของเขาก็แว่บขึ้น ทำให้หญิงสาวนึกเวทนาสงสารจับใจ
“เข้ามาสิคะ
แต่อย่าคุยนานนักนะ”
หล่อนเปิดประตูให้เขา
ภูวดลเดินโซซัดโซเซเข้าไปในบ้านด้วยท่าทางเหมือนคนเมา
เขากำลังเมากับชีวิตที่ถูกบิดามารดาขีดให้มาตลอดชีวิต และครั้งนี้ก็เช่นกัน
เขากำลังจะถูกพวกท่านจับคลุมถุงชน แต่กลับไม่กล้าคัดค้าน ไม่รู้ว่าเขากลัวอะไร
และไม่รู้ว่าจะต้องปฏิบัติเยี่ยงไรเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้หญิงที่เขาแอบรักซึ่งมีฐานะเป็นเพียงหญิงรับใช้
“รัถยาทำไมเธอไม่ไปเกิดในตระกูลที่ดีกว่านี้
หรือไม่เช่นนั้นก็เรียนให้สูงๆ กว่านี้สิ ทำไมถึงเรียนแค่ปริญญาตรี
ทำไมไม่ไปเรียนต่อต่างประเทศจบดอกเตอร์อะไรก็ได้แล้วค่อยกลับมา ทำไม ทำไมกัน”
ภูวดลคว้าร่างบอบบางที่ยืนมองด้วยความมึนงงอยู่เบื้องหน้าเข้ามาโอบกอดแน่น
พร้อมกับต่อว่าหล่อนด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้ ขณะที่รัถยาได้แต่ยืนแข็งทื่อด้วยไม่เข้าใจในความหมายและไม่รู้ว่าในใจของเขาคิดอะไร
“คุณชายเมาแล้วนะคะ
กลับไปนอนที่บ้านเถอะค่ะ เดี๋ยวรัถจะขับรถไปส่ง”
หล่อนผลักเขาออกเบาๆ
ทั้งๆ ที่อยากกอด ปลอบประโลมให้นานกว่านี้หล่อนไม่รู้ว่าเขาทุกข์ใจด้วยเรื่องอะไร แต่พอจะเดาได้ว่าเขาเหงา
โลกของเขาไม่เคยมีใครนอกจากงานและหล่อนตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยหล่อนไม่เคยเห็นเขามีเพื่อนสักคน
นอกจากคอยช่วยงานบิดาจนกระทั่งทุกวันนี้ เขาคงเก็บกดน่าดู
แต่หล่อนก็เพียงแค่มองดูอยู่ห่างๆ ในฐานะสาวใช้ที่ครอบครัวเขาเมตตาให้ขยับฐานะขึ้นมาเป็นเลขาเมื่อเรียนจบชั้นปริญญาตรี
หล่อนไม่สามารถเป็นได้มากกว่านั้น ทั้งเขากับหล่อนต่างก็รู้เรื่องนี้ดี
“รัถทำไมเธอถึงใจร้ายนัก
ทุกคนก็เหมือนกัน ไม่เคยมีใครเข้าใจฉันเลยสักคน”
เสียงของภูวดลยังดังอ้อแอ้ต่อว่าหล่อนและผู้คนรอบข้างต่อไปเรื่อยๆ
มันกัดกะเทาะเข้าไปในจิตใจอันเปราะบางของหญิงสาว แล้วเขาไม่เคยใจร้ายกับหล่อนหรอกหรือรัถยาก็อดที่จะต่อว่าเขาในใจไม่ได้เฉกเช่นกัน
“คุณเมามากแล้วนะคะ
เดี๋ยวก็ไม่สบายกลับไปนอนเถอะค่ะ”
“ฉันยังไม่เมา
ทำไมเธอถึงชอบไล่ฉันกลับนัก หรือกลัวแฟนเธอจะมาเห็นพวกเราอยู่ด้วยกัน”
เขาพานไปใหญ่
แบบนี้เองที่หล่อนอยากจะประชดเขานัก
“ค่ะก็คงต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว”
รัถยากล่าวเสียงสั่นด้วยนึกไม่พอใจนิดๆ
ที่เขาชอบยัดเยียดให้หล่อนไปเป็นแฟนกับคนนั้นคนนี้
“เธอใจร้าย
ฉันเป็นเจ้านายเธอนะ”
ภูวดลเชยคางหล่อนเชิดขึ้นเล็กน้อย
ก่อนจะใช้สองมือโอบสองแก้มไว้ โดยไม่คาดฝันนั้นริมฝีปากของเขาก็บดขยี้ลงบนริมฝีปากหล่อนอย่างหนักหน่วง
ดวงตารัถยาได้แต่เบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก
ส่งเสียงครางในลำคอห้ามเขา แต่ภูวดลกลับยิ่งรุกไล่หนัก สอดส่ายลิ้นเข้าไปควานหารสหวานในปากหล่อนด้วยท่าทางหื่นกระหาย
ราวกับเขาเฝ้ารอช่วงเวลานี้มานานเนิ่น…มันเนิ่นนานจนเขาสูญสิ้นความอดทนไม่อาจควบคุมบังคับใจของตนไว้ได้อีกต่อไป…
ท่าทางตะกละตะกลามนั้น
รัถยารับรู้ว่าลึกๆ เขาต้องการหล่อน ไม่น้อยไปกว่าที่หล่อนต้องการเขา
ไม่รู้ว่าความรัก
ความผูกพันระหว่างเธอกับเขาเริ่มต้นจากตรงไหน เมื่อไหร่ แต่มันค่อยๆ
ถักทอเป็นปรารถนาขึ้นเงียบๆบนเส้นทางแยกที่ไม่อาจบรรจบ แต่เพลานี้หล่อนอยากลองขีดทางแยกสองเส้นนั้นมาบรรจบกันดูสักครั้ง
เพียงหลับตาและยื่นมือออกไปไขว่คว้าเส้นขอบฟ้าสูงลิบนั้นให้โน้มต่ำลงมา…
“อา…”
มีเพียงเสียงครางกระเส่าด้วยความสุขที่เปล่งออกมาจากปากพวกเขาเป็นระยะ
เขาทาบทับร่างตัวเองลงบนร่างเล็กเปลือยเปล่าของรัถยาด้วยแรงปรารถนาอยากหลอมรวมหล่อนเป็นส่วนหนึ่งกับร่างกายและดวงวิญญาณของเขา
ปรารถนามีเพียงแค่หล่อนในชีวิต เยียวยาเขา เข้าใจเขา และร่วมรักไปกับเขา…
กลิ่นลีลาวดีและสัตตบรรณปีนี้รุนแรงขึ้นในความรู้สึกของรัถยา
ถนนแห่งหมู่บ้านภูสรวงหล่อนใช้เดินตลอดสามปีไปยังคฤหาสน์หลังใหญ่ของภูวดล
และสามปีนั้นหล่อนได้แต่เฝ้ามองแผ่นหลังเหงาๆ ของเขาจากที่ไกลๆ ราวกับต้องมนต์กลิ่นสัตตบรรณและลีลาวดี…โหยหา ต้องการชื่นชม ทว่ากลับสูดดมได้เพียงกลิ่น…
ภูวดลรั้งร่างเล็กเข้ามาจุมพิตที่หน้าผาก
โดยไม่ปริปากเอ่ยสิ่งใด เขายังเงียบจนถึงวินาทีสุดท้าย
แม้จะร่วมรักกับหล่อนเสร็จไปแล้วก็ตาม จู่ๆ
ร่างเล็กก็สั่นสะท้านด้วยความรู้สึกกลัว กลัวอะไรหล่อนก็บอกไม่ถูก
แต่ก็กลัวจับใจแม้จะอยู่ในอ้อมกอดของภูวดล
“ได้ยินไหมคะ”
หญิงสาวเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบที่สยายปีกอันทึมเทาปกคลุมไปทั่วห้อง
รู้สึกกระดากใจที่จะเอ่ยบางอย่างออกมา แต่หล่อนก็ต้องทำ เพราะถ้าขืนรอให้ภูวดลเป็นฝ่ายปริปาก
หล่อนรู้ว่าคนแบบเขาต้องไม่ยอมพูดก่อน เขาเป็นแบบนั้นเสมอมา
“อะไร”
“กลางคืนที่หมู่บ้านเราจะเงียบมาก
ถ้าตั้งใจฟังดีๆ เราจะได้ยินเสียงพวกดอกไม้คุยกัน”
รัถยาเล่าเสียงเบา
คนตัวใหญ่ได้แต่นิ่งฟัง พร้อมกับยิ้มขัน
“ไม่เชื่อหรือคะ
รัถสังเกตมาได้ระยะหนึ่งแล้ว รัถได้ยินพวกเขาคุยกันจริงๆ นะคะ”
“เพ้อเจ้อ” เขาว่า
พลางหัวเราะเสียงเบา
“อยากรู้ไหมคะว่าพวกเขาคุยกันเรื่องอะไร”
หล่อนช้อนตามองเขาที่กำลังก้มมองมาสบตา
ความกังวลก่อนหน้าปลาสนาการไปแล้ว ที่สัมผัสได้เวลานั้นคือความผ่อนคลายจากท่าทางและแววตาคู่นั้นของเขา
“เพิ่งรู้ว่าเธอมีหูทิพย์
แล้วพวกเขาคุยเรื่องอะไรฮึ”
“พวกเขากำลังนินทาคนในหมู่บ้านเรา
บอกว่าคนในหมู่บ้านเราเป็นพวกไร้ชีวิต วันๆ เอาแต่ทำงานหาเงินงกๆ
เพื่อรักษาหน้าตาและชื่อเสียง รวยแต่ขาดจิตวิญญาณ”
“เธอหมายถึงฉันหรือเปล่า”
ภูวดลขึงตาดุใส่
หญิงสาวสั่นหัวไปมา
“ปละ เปล่า ทำไมคุณถึงคิดว่าเป็นคุณคะ”
“ก็ฉันทำแต่งาน
ไม่ใช่รึไง”
“อืมมม
ถ้าคุณคิดแบบนั้นก็ช่วยไม่ได้”
รัถยากล่าวแล้วหัวเราะ
“หลอกด่ากันนี่นา”
“เปล่า”
“ยังจะกล้าปฏิเสธอีก
ชอบด่าดีนักใช่มั้ยมานี่เลย”คนตัวใหญ่พลิกร่างกำยำขึ้นคร่อมร่างเล็กไว้อย่างเร็ว
ก่อนจะระดมจูบหล่อนไม่ยั้ง รัถยาได้แต่ปัดป้องปากตัวเองไม่ให้เขาจูบ
“เอามือออก”
“ไม่”
“ไม่เอาออกใช่ไหม
งั้นก็ต้องโดน…แบบนี้”
เมื่อจูบด้านบนไม่ได้
ภูวดลจึงเปลี่ยนแผนไปจู่โจมที่จุดยุทธศาสตร์ด้านล่างของอีกฝ่ายแทน
ร่างเล็กถึงกับบิดเร่าไปมาเมื่อลิ้นสากหนาทั้งปาดเลีย และดูดรัวที่จุดกระสันกลางร่าง
“อ๊ะ…อา…ยะ อย่าค่ะจั๊กจี้”
“จะให้จูบดีๆ ไหม
ถ้าไม่ก็ต้องโดนแบบนี้แหละ” ขณะถามก็ช้อนสายตาอันหื่นกระหายขึ้นมองร่างเล็กที่กำลังบิดเร่าไปมาด้วยความเสียวซ่านสุดจะทนรับไหว
ไม่เคยนึกว่าผู้ชายที่เคยชอบพูดประชดแบบเขาจะเปลี่ยนเป็นอีกคนเมื่อร่วมรักกับหล่อนบนเตียง
ทั้งอ่อนโยนและเร่าร้อน กลายเป็นผู้ชายที่เต็มไปด้วยเสน่ห์อย่างคาดคิดไม่ถึง
“พอแล้วค่ะ อย่าเล่น”
หล่อนผลักศีรษะของเขาออกจากจุดกึ่งกลางกาย
แล้วร่างเล็กก็พลิกขึ้นคร่อมร่างใหญ่ไว้แทน หล่อนก้มลงจูบเขาอย่างดูดดื่ม
จูบนั้นตราตรึงเขาไว้ในห้วงเวลาขณะหนึ่งไม่รู้จบ…
ภูวดลราวกับได้เต้นรำไปกับผู้หญิงที่เขารักบนฟลอร์ที่โปรยปรายด้วยกลีบดอกไม้นานาชนิด
เต็มไปด้วยกลิ่นหอมละมุน…กลิ่นที่จะทำให้หัวใจเขาจดจำเพียงแค่หล่อนไปจนกระทั่งลมหายใจสุดท้าย…
“คุณชายขา…”
รัถยาร้องเรียกเขา เมื่อร่างใหญ่โถมทับกระแทกเข้าหาอีกครั้งและอีกครั้งดั่งระลอกคลื่นกระทบฝั่ง
ทุกอย่างราวกับความฝันนั้นรัถยาเฝ้ามองเขามาตลอดหลายปี
แต่ไม่เคยคาดคิดในชั่วพริบตาภูวดลก็มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเธอ
เวลานี้เธอกับเขาได้หลอมรวมกลายเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน
แรงปรารถนาฉุดดึงเธอจมดิ่งลงสู่ห้วงทะเลรักที่มีเพียงเขา
และในชั่วพริบตาอีกเช่นกัน
ภูวดลกลับไกลห่างออกไปเรื่อยๆ เกินเอื้อมมือถึง เขากลายเป็นคนแปลกหน้าเมื่ออยู่ท่ามกลางสังคมชั้นสูง
เป็นคุณชายสูงศักดิ์ที่เธอไม่รู้จัก ทุกครั้งที่รัถยาพยายามจะผลักเขาออกไปจากชีวิต
แต่แล้วแรงปรารถนากลับดูดดึงเขากลับมาครั้งแล้วครั้งเล่า…เกินจะหักห้ามความรู้สึก…
รูปแบบอีบุ๊ก
ไม่มีความคิดเห็น:
โพสต์ความคิดเห็น