4
น้องสาวแสนชัง
วันถัดมา
มีเจ้าหน้าที่ทางอำเภอเดินทางมาที่ไร่เพื่อขอพบพัดชาด้วยเรื่องเชิญไปร่วมงานโอทอป ซึ่งได้จัดขึ้นเป็นประจำใกล้ทุกสิ้นปีที่บริเวณศาลากลางประจำจังหวัดเชียงราย
“ไม่ได้เจอกันนานนะพี่เอก”
ตัวแทนคราวนี้เป็น ‘เอกรัฐเพิ่มพูนสุข’ปลัดอำเภอหนุ่มหล่อไฟแรงคนใหม่ อายุแก่กว่าพัดชาสองปีเพิ่งสอบได้เป็นปลัดอำเภอประจำอยู่ที่อำเภอเมือง
เอกรัฐเป็นเพื่อนในวัยเด็กของพัดชา
เพราะเขาเป็นบุตรชายคนเดียวของทนายพิชัยชอบติดตามบิดามาเที่ยวเล่นที่ไร่ชาบ่อยๆ จึงทำให้ทั้งสองมีความสนิทสนมกันเป็นพิเศษ
“พี่เห็นว่าไร่ของใบชามีผลิตภัณฑ์ขึ้นชื่อหลายตัว
และอยู่ในเขตอำเภอเมืองที่พี่ประจำการอยู่ พี่จึงอยากมาชวนให้น้องเอาสินค้าไปออกงานโอทอปด้วย”
ที่จริงเอกรัฐไม่มีความมั่นใจเลยสักนิดว่าพัดชาจะสนใจนำเอาสินค้าจากไร่ไปร่วมงานด้วย
เพราะรู้มาจากบิดาว่า ทางไร่ชาสิงห์ทองไม่ต้องการนำเอาสินค้าไปแข่งขันทางด้านธุรกิจกับสินค้าของชาวบ้านที่เป็นผู้ผลิตรายย่อย
เนื่องจากเกรงว่าจะเป็นการไม่ยุติธรรม
แต่ตอนนี้เขาก็มาแล้ว
อีกเหตุผลหนึ่งเพราะต้องการมาเจอพัดชาด้วยนั่นเอง ตั้งแต่เรียนจบชั้นมัธยมปลายที่อำเภอ
เขาก็ย้ายไปเรียนปริญญาตรีและปริญญาโทต่อที่กรุงเทพฯ
จะกลับบ้านเยี่ยมบิดามารดาที่อาศัยอยู่อำเภอเมืองก็เพียงปีละครั้งตอนปิดเทอมใหญ่
และพัดชาเองก็ไปเรียนต่อปริญญาตรีที่เชียงใหม่เพิ่งจบปีที่แล้ว
โอกาสที่เขาจะได้พบกับหล่อนนั้นก็มีน้อยลงไปอีก
“เรื่องนี้หนูเคยพูดคุยในที่ประชุมไปแล้วค่ะพี่เอกครั้งก่อนที่เจ้าหน้าที่อำเภอมาชวน
พี่ก็คงจะรู้อยู่แล้วว่าไร่เราเป็นรูปแบบบริษัทที่ผลิตสินค้าขายเต็มรูปแบบ
ไม่ใช่แบบชาวบ้านทั่วไป
จึงไม่น่าจะเหมาะสมเท่าไหร่ที่จะนำเอาไปออกร้านร่วมกับชาวบ้าน”
“มันก็ใช่
แต่สินค้าที่ไร่ชาก็ถือเป็นสินค้าขึ้นชื่อของอำเภอเมืองของเราเหมือนกัน
จะเป็นไรไหมถ้าพี่จะขอให้ทางไร่เธอไปจัดงานด้วยอาจไม่ต้องเน้นการจำหน่ายหรือประกวด
แต่เป็นการให้วิทยาทานในแง่ความรู้ เช่นเรื่องการทำไวน์ การทำไร่ชา
หรือแง่การตลาดทำยังไงถึงจะประสบความสำเร็จ”
ปลัดหนุ่มพยายามเกลี้ยกล่อม พัดชานิ่งคิดอยู่สักพัก
ก่อนกล่าวแบ่งรับแบ่งสู้ไปว่า
“เรื่องนี้หนูตัดสินใจคนเดียวไม่ได้หรอกจ้ะพี่เอก
ขอเอาเข้าที่ประชุมก่อนได้ไหมคะ อีกสองสามวันหนูจะแจ้งให้พี่ทราบทางโทรศัพท์”
“ได้สิแล้วพี่จะรอคำตอบนะ”
“ค่ะพี่
แล้วนี่ได้ทานอาหารเช้าอะไรมารึไงคะ หรือจะดื่มชา กาแฟสักหน่อยไหมก่อนกลับ”
หญิงสาวถามไถ่อย่างมีน้ำใจ
ชายหนุ่มยิ้มแหย เพราะเมื่อเช้าด้วยความเร่งรีบออกไปทำงาน
จึงยังไม่ได้รับประทานอาหารอะไรรองท้องสักคำ
“เอ่อจะไม่เป็นการรบกวนหรอกเหรอใบชา
พี่มีลูกน้องมาด้วยนะ เขารออยู่ด้านนอกชื่อพี่วิชาญ เป็นเจ้าหน้าที่เกษตรอำเภอ”
“อ๋อ! พี่วิชาญ หนูรู้จักค่ะเป็นเพื่อนกับพี่คำเมืองลูกชายลุงเดชพ่อของดาหวัน
พี่จำได้ไหม เคยมากฺรึ๊บเหล้ากันบ่อยๆ
ที่ไร่วันหยุด”พัดชากล่าวพร้อมกับทำท่ากรึ๊บเหล้าเข้าปาก
“หา! กฺรึ๊บเหล้ากับเธอน่ะรึ”
“เฮ้ย! ไม่ใช่ๆ กับพี่คำเมืองต่างหากละคะ
หนูก็แค่ไปนั่งแจมในวงเหล้า พูดกันคุยกันเรื่อยเปื่อยบางครั้งบางเวลา”
พัดชาพูด พร้อมกับโบกมือไปมา และหัวเราะขบขันกับการสื่อสารของตัวเอง
จนทำให้อีกฝ่ายเข้าใจผิด
“ตอนนี้พี่คำเมืองได้ข่าวเป็นผู้จัดการที่ฟาร์มโคนมแล้วเหรอครับ”ปลัดหนุ่มถาม
“ค่ะ คุณปู่เห็นว่าพี่เขาเก่งเกี่ยวกับเรื่องโคนม
ตอนนี้ไร่เรามีประมาณร้อยตัวเห็นจะได้ ก็ส่งขายให้ร้านค้าเจ้าประจำในเมืองบ้าง
และนำมาแปรรูปเป็นโยเกิร์ตนมผงและนมเม็ดขายแค่ให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยวไร่ก็ยังไม่ค่อยพอเลยค่ะ
เลยยังไม่ได้ส่งขายข้างนอก ตอนนี้ไร่เรายังมีหลายเรื่องที่ต้องพัฒนากันต่อไปเพื่อสานฝันของคุณปู่”
พอพูดถึงอดีตเจ้าของไร่
สีหน้าพัดชาก็หมองลงอย่างเห็นได้ชัด
“เสียใจด้วยนะใบชากับเรื่องคุณปู่”
พัดชาได้เพียงแต่พยักหน้า
“ไปกินข้าวด้วยกันดีกว่าค่ะพี่
เดี๋ยวต้องกลับไปทำงานต่อ”แม้หญิงสาวจะทำเหมือนไม่เป็นอะไร แต่เอกรัฐทราบดีว่า
หล่อนเจ็บปวดมากกว่าทุกคน เพราะคุณปู่สิงห์ทองถือเป็นทุกอย่างที่หล่อนมี พอสูญเสียร่มโพธิ์ใหญ่ไปชีวิตก็เหมือนขาดที่พึ่งพิงไปด้วย
ระหว่างนั้นแดนตะวันได้เดินผ่านมาเห็นภาพที่ทั้งสองอยู่ด้วยกันเข้าโดยบังเอิญ
เท้าที่กำลังเดินผ่านโรงอาหารของรีสอร์ตได้หยุดกึกลงทันที
ทำเอาพ่อบ้านใหญ่ที่เดินตามหลังมาติดๆ เกือบชนหลังเขาเข้าอย่างจัง
“คุณใหญ่จะหยุดก็ไม่บอก มีอะไรครับ”
ลุงเดชนึกสงสัย
หันมองเจ้านายหนุ่มที่เอาแต่ขมวดคิ้ว สายตาจับจ้องไปในโรงอาหารเขม็ง
“นั่นใคร” เขาถาม เก็บอาการสอดรู้สอดเห็นเอาไว้แทบไม่มิด
เมื่อเห็นหนุ่มแปลกหน้าแต่งชุดข้าราชการสีกากีเต็มยศมาเดินคลอเคลียกับพัดชา
“ใครครับ” ชายสูงวัยสงสัย
เพราะในโรงอาหารมีผู้คนเข้ามารับประทานกันจำนวนมาก
ยิ่งใกล้ปีใหม่นักท่องเที่ยวก็หลั่งไหลมากันไม่ขาดสาย
“ก็ผู้ชายที่ใส่ชุดสีกากีนั่นน่ะ”
เขาบอก
พร้อมกับบุ้ยปากไปยังข้าการชายสองคนที่กำลังนั่งลงรับประทานอาหาร โดยมีพัดชาคอยเสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่มอย่างเอาใจใส่
“อ้อ! คุณเอกเป็นลูกชายคนเดียวของคุณทนายพิชัย คุณเอกกับหนูใบชาสนิทกันมาตั้งแต่เด็ก
ได้ยินจากคุณทนายว่า คุณเอกเพิ่งมาเป็นปลัดอำเภอประจำที่อำเภอเมืองได้ไม่นานก็คงจะแวะมาทักทายกันตามประสาคนคุ้นเคยนั่นแหละ”
ลุงเดชบอก
“พาผมไปแนะนำหน่อย” แดนตะวันกล่าวเสียงเข้ม
ลุงเดชเดาไม่ออกว่าชายหนุ่มอยู่ในอารมณ์แบบไหน
“จะดีเหรอครับ”ชายสูงวัยเกรงว่าจะเป็นการเสียมารยาท
อีกฝ่ายถามเสียงมีอำนาจกลับไป“ผมเป็นใคร”
“เอ่อ...ได้ครับ เชิญครับท่าน”
ตอนที่มองเห็นพ่อบ้านใหญ่เดินกระย่องกระแย่งนำแดนตะวันเข้ามาในโรงอาหาร
พัดชาก็นึกสังหรณ์ใจขึ้นมาทันทีว่าอีกฝ่ายต้องมาไม่ดีแน่นอน
“ขอโทษครับที่เข้ามารบกวนตอนทานอาหาร”
ลุงเดชกล่าวออกตัว
ทำให้ผู้กำลังนั่งรับประทานอาหารทั้งสามจำต้องละมือจากช้อนลุกยืนขึ้น
“คุณใหญ่ครับนี่คือคุณปลัดคนใหม่
ชื่อปลัดเอกรัฐ และนั่นก็เกษตรอำเภอ คุณวิชาญ ส่วนนี่คือพ่อเลี้ยงคนใหม่ของเราครับ
คุณแดนตะวันเพิ่งเดินทางมาจากอเมริกาจะมาบริหารงานไร่ชาต่อจากคุณปู่สิงห์ทองของท่าน”
“สวัสดีครับ ยินดีที่ได้รู้จัก”
เอกรัฐกล่าว พร้อมกับยกมือไหว้ในฐานะที่อายุน้อยกว่า และยิ้มให้อย่างเป็นมิตร เกษตรอำเภอหนุ่มใหญ่ก็ทำตามเช่นกัน
“ยินดีเช่นกัน ว่าแต่ว่า
พวกคุณมานี่มีธุระอะไรให้พวกเรารับใช้รึครับ” กัดฟันถามไปอย่างนั้นเอง
ที่จริงก็แค่อยากจะรู้จนตัวสั่นว่า พัดชามีความสัมพันธ์กับปลัดหนุ่มอยู่ในขั้นไหน
“พอดีทางจังหวัดได้จัดงานโอทอปขึ้นที่ศาลากลาง
ทางอำเภอเลยมาเชิญให้ทางไร่ไปร่วมกิจกรรมออกร้านและให้ความรู้เรื่องการทำไร่ชาเพื่อเป็นวิทยาทานกับผู้สนใจด้วยครับ
แต่คุณใบชาบอกว่าจะต้องขอปรึกษาคนอื่นๆ ในที่ประชุมดูก่อน”
เอกรัฐอธิบาย
“ยังงั้นรึ อืมม...” พ่อเลี้ยงหนุ่มทำท่าครุ่นคิด
“ผมในฐานะพ่อเลี้ยงที่นี่และเป็นเหมือนพี่ชายของใบชา
ผมอนุญาตให้น้องใบชาตัดสินใจเองได้เลย ไม่ต้องผ่านการเห็นชอบในที่ประชุมหรอก
ยุ่งยากจะตาย เข้าใจนะน้องรัก”
พี่ชายเจ้าเล่ห์ปรายตามองน้องสาวร่วมโลกที่กำลังยืนนิ่งฟังตาปริบๆ
“เข้าใจไหมที่บอกน่ะ”ย้ำถามอีกรอบ
พัดชาตอบเหมือนยังตื่นไม่เต็มที่
“อ้อ! ค่ะๆ เข้าใจค่ะ”
“งั้นก็จัดการไปตามที่เห็นสมควร
มีเรื่องอะไรก็บอกกับพี่ได้โดยตรง เข้าใจมั้ย เราสองคนก็เหมือนพี่น้องกัน”
เน้นคำว่า ‘พี่น้อง’ จนคนฟังอดขนลุกไม่ได้
พัดชายิ้มแหย เพราะไม่รู้จะวางตัวอย่างไรดีถึงจะเหมาะสมกับคำว่า น้องสาวของเขา
“เอาละ
ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็เชิญพวกคุณรับประทานอาหารต่อไปเถอะ ผมต้องขอตัวก่อน
ไปเถอะลุงเดช”
ชายหนุ่มกล่าวน้ำเสียงเหมือนผู้บัญชาการกองทัพอย่างไรอย่างนั้น
ก่อนจะเดินยืดอกเชิดหน้าหล่อเข้มออกไปจากโรงอาหาร
“อะไรวะ” พัดชาเกาหัวแควกๆ มองตามแดนตะวันไปอย่างงงๆ
“แบบนี้น้องใบชาก็ตัดสินใจได้เลยสิครับ”
เอกรัฐดึงความสนใจพัดชากลับมา
ทั้งสามนั่งลงรับประทานอาหารต่อ และพูดคุยเรื่องงานโอทอปไปด้วย ก่อนปลัดหนุ่มจะเดินทางกลับพัดชารับปากเอกรัฐว่าจะช่วยอย่างเต็มที่เท่าที่ทำได้
“ดีครับ พี่จะไปจองสถานที่ไว้ให้
ส่วนทางนี้ใบชาก็เตรียมตัวไว้นะครับ อาทิตย์หน้างานจะเริ่ม” ปลัดหนุ่มบอก
“ขอบคุณนะพี่เอก และพี่วิชาญด้วย
วันหลังก็อย่าลืมแวะมากรึ๊บ! กับพี่คำเมืองนะคะ”
พัดชากล่าวอย่างขี้เล่น ขณะเดินไปส่งทั้งสองหนุ่มที่รถ
เกษตรอำเภอหนุ่มใหญ่วัยสี่สิบตอนต้นรู้ว่าหล่อนหมายถึงอะไร จึงได้แต่หัวเราะแหะๆ
“ได้ครับ
เดี๋ยวรอให้แม่ที่บ้านเผลอก่อน”
เขาหมายถึงภรรยาที่บ้านเอกรัฐยืนฟังทั้งสองพูดคุยกันก็อดขำเสียไม่ได้
“ท่าทางสนุกดีนะครับ ถ้าพี่วิชาญแอบมากรึ๊บเมื่อไหร่ก็อย่าลืมชวนผมด้วยนะครับ”
เอกรัฐกล่าวหยอกเย้า
ทั้งพัดชากับวิชาญถึงกับพากันหัวเราะเสียงดังที่จะได้เพื่อนร่วมกรึ๊บเพิ่มขึ้นมาอีกราย
เสียงหัวเราะสดใสของพัดชาลอยไปเข้าหูแดนตะวันที่เดินตรวจงานอยู่บริเวณไม่ไกลจู่ๆ
หัวใจพ่อเลี้ยงคนใหม่ก็เต้นตึกตักขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยชายหนุ่มเผลอยกมือขึ้นลูบหน้าอก
พร้อมกับทำหน้าครุ่นคิด
“เป็นอะไรครับคุณใหญ่เห็นลูบหน้าอกอยู่ตั้งนาน”
ลุงเดชก็เป็นจอมสังเกตการณ์จนน่ารำคาญ
คอยจุ้นจ้านเรื่องของเขาไปเสียทุกเรื่อง
“เปล่าหรอก น่าแปลกแฮะ ทำไมจู่ๆ ...”
“อะไรแปลกครับ” ชายสูงวัยสงสัย
“โอ๊ย! ลุงนั่นแหละแปลก ถามอยู่ได้
ถ้าไม่รู้สักเรื่องจะเป็นอะไรไหม เดี๋ยวผมจะเดินดูรอบๆ รีสอร์ต และไร่ชาคนเดียวก็แล้วกัน
ลุงจะไปทำอะไรก็ไปทำเถอะ รำคาญ!”
************
ไร่ชาสุดลูกหูลูกตาไม่ได้ช่วยให้จิตใจเขารู้สึกแจ่มใสขึ้นมาสักนิดเลย ออกจะหงุดหงิดเสียด้วยซ้ำเมื่อมองไปทางไหนก็เห็นแต่สีเขียวขจีเต็มไปหมด
เดินเตะโน่นเตะนี่ไปเรื่อยๆ
เหมือนคนพาล ไม่รู้โกรธใคร ในใจก็เอาแต่คิดถึงใบหน้าหวานๆ และดวงตาใสซื่อของผู้หญิงคนนั้น
เสียงหัวเราะของเจ้าหล่อนก็ช่างน่าหมั่นไส้ ยิ่งเห็นหล่อนพูดจาฉอเลาะอยู่กับพวกผู้ชายข้าราชการพวกนั้น
มันทำให้เขาหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก
“โธ่เว้ย! หงุดหงิดๆ”แดนตะวันสบถเสียงดัง และเผลอเหวี่ยงเท้าไปเตะเข้ากับตอไม้อย่างจัง
“โอ๊ย! เจ็บๆๆๆ”
เสียงร้องโอดครวญของเขาลอยไปก่อกวนคนที่กำลังนั่งดื่มเหล้าด้วยความสำราญใจอยู่หลังพุ่มชาใกล้ๆ
“ไผ...ไผมันมากวนใจ๋อ้ายหล่ำ”
ชายวัยหกสิบตอนปลายผงกหัวลุกขึ้นมองเหนือพุ่มชา
กลิ่นเหล้าขาวโชยหึ่งมาตามสายลม
“แล้วนี่ตาเป็นใคร
ทำไมมานอนเมาอยู่ในไร่คนอื่น เป็นคนงานที่ไร่หรือเปล่า” แดนตะวันร้องถามข้ามพุ่มชาอันยาวเหยียดต่อเนื่องกันเหมือนงูกินหางชายชราที่ยืนตัวโงนเงนอยู่อีกฟากฝั่งร้องตอบมาเสียงดังอ้อแอ้
“บ่าวน้อยง่าว
เอิ๊ก!ปี่จะบอกหื่อ พวกป้อจายอย่างหมู่เฮานี่
พอมีเมียมันก็เหมือนมีแม่บ่มีผิด ปี่ฮู้ปี่อยู่มาจั๊ดเมินจนขี้เกียจหายใจ๋
พวกแม่ญิงมันก่อเหมือนก๋านหมด เอิ๊ก!”
ชายชราบ่นเป็นภาษาเหนือ
พร้อมกับกระดกเหล้าในขวดเข้าปากอีก ทำเอาแดนตะวันยืนงงเป็นไก่ตาแตก เพราะฟังภาษาที่แกพูดไม่รู้เรื่อง
เขาหันมองไปรอบๆ ก็มีเพียงแค่ตัวเองกับพ่อเฒ่าเพียงลำพัง
คาดเดาว่า ชายชราคงเป็นคนงานจากหมู่บ้านรอบนอกที่เดินทางเข้ามารับจ้างเก็บใบชานั่นเอง
“แล้วเพื่อนๆที่เก็บใบชาด้วยกันไปอยู่ไหนเสียล่ะ”
“เปื่อนหน๋ายน้องจาย เอิ๊ก!ปี่อยู่มาเมินก่อบ่าดาย ปี่หลงทางเป๋นคนง่าว
เฮ้ย! น้องจายฮู้ก่อว่าปี่เป็นไผ”
คนฟังได้แต่ยิ้มแหย
เหมือนยืนฟังมนุษย์ต่างดาวส่งรหัสลับมายังเขาไม่มีผิดเลยตอนนั้น
“เอ่อ...ผมไม่เข้าใจหรอกที่ตาพูด
เอางี้นะ ผมจะพูดให้ตาฟังบ้าง”
“อู้มา”ชายชราร้องบอก
พร้อมกับยกขวดเหล้าขาวกวัดแก่วงเรียกให้ชายหนุ่มข้ามมาหา
แดนตะวันเดินอ้อมไปนั่งฝั่งเดียวกับแก
จากนั้นทั้งสองก็นั่งพิงพุ่มชาผลัดกันเล่าเรื่องของตัวเอง คนละภาษาและคนละเรื่องราว
แต่สำหรับแดนตะวันตอนนั้นก็เหมือนได้ระบายออกเป็นครั้งแรก
“ผมมาจากอเมริกา” ชายหนุ่มบอก
“อเมริกามีไหนกา”
อุ้ยขี้เมาถาม“อเมริกาอยู่ไหนเหรอ”
ส่วนชายหนุ่มเข้าใจไปอีกอย่าง
คิดว่า ชายชราถามเรื่องกาในอเมริกา
“มีสิ...”เขาตอบ
“แล้วมีไหนกา”พ่อเฒ่าย้ำถามอีก “แล้วอยู่ไหนเหรอ”คราวนี้แดนตะวันขมวดคิ้วมุ่นสงสัยหนัก
“อเมริกาก็มีกาอยู่เต็มไปหมดนั่นแหละตา”
“โอ๊ย! แล้วมันมีไหนกาง่าวใบ้ง่าวง่าว”
โง่นัก พ่อเฒ่าเลยด่าเข้าให้ว่า
เป็นคนโง่บรม โชคดีที่แดนตะวันแปลไม่ออก หลังจากนั้นทั้งสองก็คุยกันต่อไปเรื่อยๆ
ตามประสาคน ‘ง่าว’ สองคนที่บังเอิญมาพบกันกลางไร่ชา
“คืองี้นะ ผมจะเล่าความลับให้ฟัง ชีวิตผมต้องอยู่ใต้เงามืดของผู้หญิงมาตลอด
แม่ผมเอง เจ้ากี้เจ้าการกับผมไปทุกเรื่อง พอมาอยู่ที่นี่ผมก็ยังมีปัญหากับผู้หญิงอีก
ปัญหาใหญ่มากคนนี้ จนผมไม่รู้จะจัดการกับเธอยังไงดี”
ชายหนุ่มถอนหายใจหนักๆ พ่อเฒ่าฟาดมืออันอ่อนปวกเปียกเข้าที่กลางหลังเขาดังเพียะ!พร้อมกับยื่นขวดเหล้าให้ดื่มแก้กลุ้ม
แดนตะวันสั่นหัวหงึกๆ
“เฮ่ย! เป๋นป้อจายบ่กิ๋นเหล้าใจ๊บ่ได้
จ๊ะไปกึ๊ดนัก แค่แม่ญิงคนเดียว ถ้ามันเหลือกำนักก่อจัดการป๊าบๆๆ เลยน้องจาย”
แดนตะวันนั่งงงกับคำพูดของอุ้ยหล่ำอยู่พักใหญ่
ก่อนจะหัวเราะกับตัวเอง เหมือนเพิ่งคิดได้ว่า
ตัวเองก็ไม่ต่างจากคนบ้าที่มานั่งเล่าความในใจกับคนแปลกหน้า
แถมยังพูดคุยกันไม่รู้เรื่องอยู่ตั้งนมนาน
“ยิ่งพูดยิ่งเลอะเทอะไปกันใหญ่
ผมว่าตากลับบ้านไปนอนซะเถอะ หรือจะให้ผมโทร.เรียกที่บ้านมารับกลับไหม”
แดนตะวันยันตัวลุกขึ้นยืน ก่อนจะช่วยพยุงชายชราให้ลุกตาม
สักพักก็สังเกตเห็นหญิงสูงวัยรูปร่างอ้วนรายหนึ่งสะพายกระบุงไว้ด้านหลังวิ่งมาแต่ไกล
พร้อมกับตะโกนเสียงดัง
“อุ้ยหล่ำมีไหน อุ้ยหล่ำมีไหน”
ส่วนอุ้ยหล่ำเมื่อได้ยินเสียงศรีภรรยาก็ลนลานขว้างขวดเหล้าเข้าไปในพุ่มชาเสียจนแทบไม่ทัน
“นางยักษ์แก่มาแล้ว”
“หลบอยู่นี่เอง กิ๋นเหล้าเมาหัวราน้ำแต่หัววันเลยนะงานก๋านก่อบ่ยะบ่ฮู้จะตามมายะหยัง”
ภรรยาอายุอ่อนกว่าหลายปีร้องด่าเสียงดัง
แต่พอเดินเข้ามาใกล้หันไปมองคนที่ยืนข้างๆ เห็นหน้าชัดๆ ก็ทำท่าตกใจ ยกมือขึ้นไหว้ปลกๆพร้อมกับขอโทษขอโพยแทนสามีเป็นภาษาเหนือ
“โอ๊ะ! พ่อเลี้ยงมาอยู่นี่ได้จะไดหมู่เฮาสุมาเต๊อะเจ้า”
พ่อเลี้ยงยืนงงอยู่พักใหญ่จากนั้นก็ทำได้แค่โบกไม้โบกมือไปมาก่อนกล่าวว่า“คุณตาคงเมามาก
พูดจาไม่รู้เรื่องเลยครับ พาแกกลับไปนอนเถอะ”
“นี่เมียปี่เองน้องจาย”
ตาเฒ่าขี้เมายังมีสติ
รู้จักแนะนำผู้เป็นภรรยาให้แดนตะวันรู้จัก ผู้เป็นภรรยาเปลี่ยนมาพูดภาษาไทยกลางบ้าง
เมื่อเห็นพ่อเลี้ยงคนใหม่เอาแต่ทำหน้างง
“ต้องขอโทษด้วยเจ้าท่านพ่อเลี้ยง อุ้ยหล่ำพอเหล้าเข้าปากก็พูดจ้อจนลิงหลับเป็นฝูงแบบนี้แหละเจ้า”
“อ้าว! ยายก็พูดรู้เรื่องนี่”
แดนตะวันว่า
“งั้นข้าเจ้าขอตัวพาอุ้ยหล่ำกลับก่อนนะเจ้า”
นางอึ่งบอกแล้วเดินเข้ามาลากแขนสามีขี้เมาไปด้วยกัน
ก่อนจากชายชราก็ไม่วายหันกลับมา พร้อมกับประกบฝ่ามือสองข้างเข้าด้วยกัน และร้องบอกแดนตะวันว่า
“จ๊ะไปกึ๊ดนักป๊าบๆ
เลยน้องจาย”
“ป๊าบๆ อะหยัง ไปไป้ปิ๊กเฮือนไปนอน”
เสียงนางอึ่งตะโกนด่าสามีไปตลอดทาง
แดนตะวันมองตามสองสามีภรรยาต่างวัยไปจนลับสายตา ก่อนจะหัวเราะขบขันกับตัวเองท่ามกลางสายลมที่พัดมาอ่อนๆ
“เพี้ยนไปกันใหญ่ตาคนนี้ ป๊าบๆ อะไรกัน”
ไม่มีความคิดเห็น:
โพสต์ความคิดเห็น